เนื้อหาของ Bitcatcha เกิดจากการสนับสนุนของผู้อ่าน เมื่อคุณซื้อผ่านลิงก์บนเว็บไซต์ของเรา เราอาจได้รับค่าคอมมิชชั่นจากพันธมิตร เรียนรู้เพิ่มเติม

วิธีการเริ่มทำธุรกิจออนไลน์ (และ 6 ไอเดียธุรกิจที่เหมาะสำหรับมือใหม่)

เขียนโดย
Elliot Boey
อัปเดตแล้ว
December 11, 2023

 

หากคุณกำลังคิดจะเริ่มทำธุรกิจออนไลน์ ผมว่าคุณเข้ามาถูกเว็บแล้วล่ะครับ ในบทความนี้เราจะพูดถึงแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดเพื่อให้ธุรกิจออนไลน์ของคุณเดินหน้าไปได้อย่างสวยงาม ขั้นตอนต่าง ๆ ที่คุณจะต้องทำเพื่อให้ธุรกิจคุณถูกต้องตามกฎหมาย รวมถึงอาจจะโยนไอเดียธุรกิจเจ๋ง ๆ ให้กับคุณสักสองสามไอเดียไปด้วยเลย

 

สารบัญ

 

 

วิธีการเริ่มต้นธุรกิจออนไลน์

  1. หาแนวทางแก้ไขให้กับปัญหาที่มีอยู่
  2. เขียนเพื่อให้ขายได้
  3. สร้างเว็บไซต์ที่ให้ความรู้สึกถึงคุณภาพระดับพรีเมียม
  4. สร้างตัวคุณให้เป็นผู้เชี่ยวชาญในสายงานของคุณ
  5. ใช้ประโยชน์จากการตลาดทางอีเมล
  6. โน้มน้าวลูกค้าเดิมให้ซื้อสินค้าที่แพงกว่า

 

โบนัส: ไอเดียธุรกิจที่เหมาะสำหรับมือใหม่

  1. เริ่มทำเว็บไซต์ตัวแทนขายสินค้า
  2. เริ่มทำบล็อก
  3. เริ่มทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซ
  4. เริ่มทำธุรกิจออกแบบเชิงสร้างสรรค์
  5. เริ่มทำธุรกิจประเภทสตูดิโอหรือผลิตสื่อ
  6. สร้างโปรแกรมสอนทางออนไลน์

 

ตกผลึก

 

การใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อดำเนินธุรกิจ

 

การถือกำเนิดของ เวิลด์ ไวด์ เว็บ เป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดอย่างหนึ่งที่เคยเกิดขึ้นกับพวกเราอย่างแท้จริง มันเข้ามาเปลี่ยนแปลงการใช้ชีวิตของเราตั้งแต่วิธีที่เราไปไหนมาไหน (แผนที่ Google ซึ่งต่างจากแผนที่แบบเดิมหรือการถามทาง) ไปจนถึงวิธีการที่เราค้นหาคำแนะนำต่าง ๆ (การรีวิวทางออนไลน์ที่ต่างจากการบอกปากต่อปาก) เวิลด์ ไวด์ เว็บ ยังช่วยให้ทำธุรกิจออนไลน์ง่ายกว่าเดิมอีกด้วย

 

และด้วยบรอดแบนด์ความเร็วสูงที่มีเกือบทุกมุมโลก พวกเราจึงมีอิสระในการทำธุรกิจจากบ้านอย่างสะดวกสบาย หรือแม้กระทั่งขณะกำลังจิบใหมไทยสบายอารมณ์อยู่ในสวรรค์เขตร้อน (ตราบใดที่ยังมี WiFi ให้บริการ)

 

สิ่งหนึ่งที่สวยงามที่สุดเกี่ยวกับธุรกิจออนไลน์ก็คือ ตลาดของคุณไม่ได้จำกัดอยู่ในประเทศของคุณเพียงเท่านั้น ฝันให้ไกล คุณสามารถขายของไปได้ทั่วโลกด้วยพลังของอินเทอร์เน็ต !

 

 

ทำไมธุรกิจส่วนใหญ่ถึงไปไม่ถึงฝั่ง

 

ไม่มีอะไรง่ายอย่างที่คิดหรอก แม้ว่าอินเทอร์เน็ตจะนำพาความสะดวกสบายและประโยชน์ต่าง ๆ เข้ามาในชีวิตพวกเรา แต่คุณก็ยังได้เห็นคนมากมายที่ไม่ประสบความสำเร็จในการสร้างธุรกิจออนไลน์ นั่นเป็นเพราะว่าคนส่วนใหญ่ไม่รู้วิธีการสร้าง การตลาด และขายผลิตภัณฑ์ของพวกเขาในโลกดิจิทัล

 

การสร้างแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซสำหรับผลิตภัณฑ์ชิ้นล่าสุดของคุณโดยไม่มีการวางแผน และได้แต่หวัง ว่ามันจะขายได้ก็ไม่ต่างอะไรกับการซื้อตั๋วเที่ยวเดียวไปยังปลายทางที่มีชื่อว่า ความล้มเหลว

 

 

หลักปฏิบัติที่ดีที่สุดและเคล็ดลับสำหรับธุรกิจออนไลน์

 

ในบทความนี้ เราจะพูดถึงสิ่งที่คุณจำเป็นต้องทำบางประการเพื่อรับประกันความสำเร็จให้กับธุรกิจของคุณ ใครจะไปรู้ล่ะ ด้วยความวิริยะอุตสาหะอย่างเต็มที่บวกกับโชคช่วย คุณอาจจะประสบความสำเร็จอย่าง งดงามและพลิกมันให้กลายเป็นธุรกิจสตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์นซึ่งมีมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท !

 

ไม่สำคัญหรอกว่า คุณจะเป็นผู้เชี่ยวชาญในวงการหรือเป็นผู้ประกอบการหน้าใหม่ไฟแรง เราเชื่อแน่ว่าเคล็ดลับต่อไปนี้จะเป็นประโยชน์กับคุณ รู้อย่างนี้แล้วคุณควรบุ๊กมาร์กหน้านี้เอาไว้อ่านทบทวนในอนาคต

 

หากคุณอยากรู้เรื่องราวอัปเดตและเคล็ดลับเล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับการทำธุรกิจออนไลน์ คุณสามารถสมัครเป็นสมาชิกวารสารข่าวของเราได้ด้วยเช่นกัน

 

เอาล่ะ เห็นทีผมคงต้องขอโปรโมทตัวเองไว้แค่นี้ มาเริ่มกันเลยดีกว่า !

 

 

วิธีการเริ่มต้นธุรกิจออนไลน์

 

ขั้นตอนที่ 1 หาแนวทางแก้ไขปัญหาที่มีอยู่

 

ปัญหาคือโอกาส ปัญหาบางอย่างอาจจะเป็นอุปสรรค์ต่อใครบางคนได้อย่างง่ายดาย ขณะเดียวกันก็อาจทำให้บางคนยิ่งดิ่งลงไปแย่กว่าที่เป็น การระบุปัญหาและสร้างผลิตภัณฑ์ / บริการที่ช่วยมาแก้ปัญหานั้นถือเป็นการสร้างแนวทางแก้ไขที่ตลาดกำลังต้องการอยู่ ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นการเพิ่มโอกาสให้ธุรกิจของคุณประสบความสำเร็จ

 

หรือแม้ว่าคุณอาจจะไม่ได้ทำธุรกิจที่ช่วยแก้ปัญหาเหล่านั้น แต่ธุรกิจของคุณก็จะได้ประโยชน์อย่างมหาศาลจากการค้นพบปัญหาของลูกค้า เพราะคุณก็จะได้แก้ปัญหาที่คุณเองก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีอยู่จริง ผลก็คือ ลูกค้าจะอยากกลับมาใช้บริการอีก

 

คุณจะทำอย่างนี้ได้ด้วยวิธีการต่อไปนี้ :

 

  • เข้าไปดูฟอรั่มที่มีความเกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ / บริการของคุณ
    การที่คุณเข้าไปอ่านเรื่องราวที่ผู้คนเข้าไปบ่นหรือเรื่องที่พวกเขารู้สึกไม่พอใจจะทำให้คุณได้รับข้อมูลเชิงลึกอันมีค่าเกี่ยวกับปัญหาและสิ่งที่พวกเขาต้องการ ฟอรั่มที่ได้รับความนิยมซึ่งคุณสามารถเข้าไปดูได้ เช่น reddit และ Bizwarriors อีกทางหนึ่งก็คือการใช้ Facebook ให้เกิดประโยชน์โดยการเข้าร่วมกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับตลาดของคุณ คุณจะได้รับข้อมูลเชิงลึกมากมายจากตรงนั้น
  • เข้าไปดูใน Quora
    Quora ก็เป็นที่ที่คุณจะไปเก็บสะสมข้อมูลเชิงลึกต่าง ๆ ได้เช่นกัน เว็บไซต์นี้มี ผู้ใช้มากกว่า 200 ล้านรายต่อเดือน มาพร้อมปัญหานานัปการที่กำลังมองหาคำตอบ
  • ค้นคว้าหาคีย์เวิร์ด
    การค้นคว้าหาคีย์เวิร์ดจะช่วยให้คุณพบกับคีย์เวิร์ดที่ผู้ใช้นำมาใช้ในการค้นหา วิเคราะห์เจาะลึกบางคีย์เวิร์ดที่ผู้ใช้กำลังใช้ในการค้นหาแต่ไม่ได้มีการค้นหากันมากนัก ทำอย่างนี้จะช่วยให้คุณเจอคำตอบที่ผู้คนต้องการ
  • ส่องดูคู่แข่ง
    เข้าไปชมเว็บไซต์ของคู่แข่งเพื่อดูว่ามีอะไรบ้างที่พวกเขาทำถูกทาง คุณจะได้เห็นแนวทางแก้ปัญหาที่คู่แข่งของคุณมีให้กับตลาด และคุณจะสามารถ “สร้างนวัตกรรมใหม่” โดยเริ่มจากตรงนั้น (ที่บอกว่า “สร้างนวัตกรรมใหม่” ผมหมายถึง การเลียนแบบและปรับปรุงให้ดีกว่า)

 

 

ขั้นตอนที่ 2 เขียนเพื่อให้ขายได้

 

การเขียนโฆษณาที่ดีเป็นหนึ่งในวิธีการเพิ่มยอดขายที่มีประสิทธิภาพที่สุด เรียนรู้เทคนิคการเขียนโฆษณาหรือจ้างนักเขียนโฆษณาเก่ง ๆ (ให้รู้ไว้ว่านักเขียนฝีมือดีใช่ว่าจะเขียนโฆษณาเก่ง มันเป็นทักษะที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเลย)

 

นักเขียนโฆษณาเก่ง ๆ จะรู้ว่า ควรใส่อะไรไว้ตรงไหนที่ทำให้คนคล้อยตาม พวกเขาจะรู้วิธีพาดหัวที่น่าตื่นเต้นเร้าใจ สั้นกระชับแต่ทรงพลังมากพอที่จะดึงดูดความสนใจและพาคนให้ทำตามไปทีละขั้นจนไปจบที่หน้าชำระเงิน นักเขียนโฆษณาจะสามารถทำให้ลูกค้าซื้อสินค้าอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องพ่วงตามไปด้วยหลังจากซื้อสินค้าที่ตัวเองต้องการจริง ๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว แถมยังทำให้ลูกค้ารู้สึกดีที่ได้ซื้อเพิ่มอีกต่างหาก

 

ต่อไปนี้คือหลักการในการเขียนโฆษณาที่ดี:

 

  • เขียนข้อความพาดหัวให้สั้นและไพเราะ
  • เขียนให้คนในโลกออนไลน์อ่าน คนกลุ่มนี้จะมีความสนใจเป็นระยะเวลาที่สั้นมาก ๆ
  • อย่าใช้คำหรือภาษาที่ซับซ้อน
  • เขียนแบบมีเป้าหมาย
  • เขียนแบบเข้าใจลูกค้าตั้งแต่ต้นจนจบการซื้อขาย (buyer’s journey) พิสูจน์แล้วว่ามันใช้ได้ผล!

 

หากคุณต้องการเรียนรู้เพิ่มเติม คุณสามารถเข้าไปอ่านบทความที่ละเอียดกว่านี้ของเราได้ใน วิธีการเขียนเนื้อหาเว็บไซต์

 

 

ขั้นตอนที่ 3 สร้างเว็บไซต์ที่ให้ความรู้สึกแบบพรีเมียม

 

เมื่อมีใครหลุดเข้ามาในเว็บไซต์ธุรกิจเล็ก ๆ ของคุณ คุณมีเวลาน้อยว่า 5 วินาทีในการสร้างความประทับใจแรก เว็บไซต์ที่แลดูเป็นมือสมัครเล่นจะไม่สร้างความมั่นใจให้กับผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม และเมื่อผู้ชมตัดสินใจบอกลาเว็บของคุณแล้วล่ะก็ นั่นหมายความว่าพวกเขาบอกลาตลอดกาล

 

เอาใจใส่กับหน้าจออินเตอร์เฟสสำหรับผู้ใช้ (UI) และประสบการผู้ใช้ (UX)

 

  • หน้าจออินเตอร์เฟสสำหรับผู้ใช้ของคุณใช้งานง่ายหรือเปล่า
  • การตอบสนองของเพจคุณมีความเร็วมากพอหรือยัง
  • ใช้พื้นหลังนี้แล้วทำให้อ่านข้อความยากไหม
  • คุณค่าที่คุณต้องการส่งมอบให้ลูกค้าคืออะไร
  • การเข้าไปดูเว็บไซ์สร้างประสบการณ์ที่น่าพึงพอใจให้กับลูกค้าของคุณหรือไม่
  • การซื้อของจากเว็บคุณทำได้ง่ายหรือเปล่า

 

นึกเสียว่าเว็บไซต์ของคุณเป็นหน้าร้านจริง ๆ คุณคงไม่อยากซื้อของจากร้านที่ดูเหมือนเป็นหน้าฉากของ พวกค้าเสพติดตามตรอกซอกซอยที่ดูไม่น่าไว้วางใจ ลองเข้าไปดู บทความ นี้เพื่อออกแบบร้านค้าที่จะทำให้ลูกค้าของคุณรู้สึกอยากจะซื้อของด้วย

 

 

ขั้นตอนที่ 4 สร้างตัวคุณให้เป็นผู้เชี่ยวชาญในสายงานของคุณ

 

วิธีนี้ใช้ได้กับทั้งธุรกิจแบบออนไลน์และออฟไลน์ ลองสังเกตดูว่าเวลาที่คุณออกไปเดินเลือกซื้อของ คุณเองก็มีแนวโน้มที่จะซื้อของจากพนักงานขายที่ดูมีความรู้เกี่ยวกับสินค้ามากที่สุด

 

แนวคิดเดียวกันนี้ใช้ได้กับธุรกิจออนไลน์

 

เมื่อคุณดูมีความรู้ มั่นใจและน่าเชื่อถือ คนมักจะเชื่อใจคุณและซื้อทุกอย่างที่คุณแนะนำ

 

คุณไม่จำเป็นต้องรู้ข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของคุณ คุณแค่ต้องรู้ให้มากกว่าลูกค้าและต้องรู้ว่าลูกค้าจะได้ประโยชน์อะไรจากตัวสินค้า จงให้ข้อมูลที่มีค่าและเผยเคล็ดลับต่าง ๆ ให้ลูกค้าแบบฟรี ๆ (ไม่ต่างจากบทความนี้เลย) อย่าลืมใส่ลิงก์กลับมาที่เว็บไซต์ทุกครั้งที่คุณเขียนบทความเพื่อช่วยให้คนที่กำลังอ่านเนื้อหาของคุณทราบได้ว่าข้อมูลมาจากไหน

 

คุณยังสามารถ:

 

  • เขียนบทความ (ตามคีย์เวิร์ดที่ค้นคว้ามา)
  • ผลิตวิดีโอ (หากคุณไม่ถนัดเขียน)
  • ตอบคำถามใน Quora
  • เขียนลง Medium
  • เข้าร่วมฟอรั่มที่เกี่ยวข้อง

 

 

ขั้นตอนที่ 5 ใช้ประโยชน์จากการตลาดทางอีเมล

 

อย่าสบประมาทพลังของการตลาดทางอีเมล หากมีใครให้ที่อยู่อีเมลแก่คุณ นั่นหมายความว่าเขาคนนั้นกำลังให้ช่องทางการสื่อสารทางตรงแก่คุณ

 

คุณไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับการโฆษณาและไม่จำเป็นต้องใส่ใจเลยหากข้อความของคุณจะสาปสูญไปในท้องทะเลแห่งโฆษณาในโซเชียลมีเดีย

 

เมื่อลูกค้าของคุณให้ที่อยู่อีเมลของพวกเขาแก่คุณ หมายความว่าคุณได้ให้อะไรบางอย่างที่พวกเขารู้สึกว่ามีค่าและส่งผลให้พวกเขาเชื่อมั่นในตัวคุณ ซึ่งทำให้คุณสามารถทำการตลาดสินค้าใหม่ ๆ ไปถึงพวกเขาได้ง่ายมากยิ่งขึ้น

 

ดังนั้น จงสร้างรายชื่อผู้สนใจรับวารสารข่าวในเว็บไซต์ของคุณ คุณม่ีแต่ได้หากรู้จักใช้ประโยชน์จากการตลาดทางอีเมลให้เต็มที่ !

 

หากคุณต้องการเคล็ดลับการทำการตลาดทางอีเมลมากกว่านี้ ลองเข้าไปดู บทความเหล่านี้ และปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด แค่นี้คุณก็จะกลายเป็นผู้เชิ่ยวชาญด้านการตลาดทางอีเมลในชั่วพริบตา !

 

 

ขั้นตอนที่ 6 โน้มน้าวลูกค้าเดิมให้ซื้อสินค้าที่แพงกว่า

 

การปิดการขายครั้งแรกกับผู้เข้าเยี่ยมเว็บไซต์น่าจะเป็นเรื่องที่ยากมากที่สุดในขั้นตอนการขายทั้งหมด แต่ถ้าคุณสามารถให้เหตุผลโดนใจจนพวกเขายอมควักกระเป๋าซื้อสินค้ากับคุณเป็นครั้งแรก 36 % ของคนกลุ่มนี้มักจะกลับมาซื้อสินค้ากับคุณอีก

 

แนะนำสินค้าหรือบริการที่จะช่วยเติมเต็มสินค้าที่พวกเขาซื้อไปแล้ว สร้างระบบสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าขาประจำหรือให้รหัสส่วนลดที่ลูกค้าสามารถนำมาแลกใช้ได้ในการซื้อครั้งถัดไป มอบข้อเสนอพิเศษแทน “คำขอบคุณ” แก่ลูกค้าเมื่อชำระเงิน

 

มอบของรางวัลตอบแทนให้ลูกค้าไปเรื่อย ๆ และพวกเขาก็จะกลายเป็นลูกค้าของคุณตลอดไป

 

ไหน ๆ ก็พูดถึงรางวัล นี่คืออะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่จะมาช่วยให้ลูกค้าของคุณยอมควักกระเป๋าจ่ายแพงขึ้น

 

 

โบนัส: ไอเดียธุรกิจที่เหมาะสำหรับมือใหม่

 

ช่วงนี้เราจะให้ไอเดียธุรกิจที่สามารถลงทุนได้โดยใช้ความพยายามเพียงน้อยนิด

 

1. เริ่มทำเว็บไซต์ตัวแทนขายสินค้า

 

อย่าดูถูกการตลาดแบบตัวแทนขายสินค้าเชียวนะ เพราะจากข้อมูลของ Awin.com มีการคาดการณ์ว่าการตลาดแนวนี้จะมีมูลค่า 6,800 ล้านดอลลาร์ภายในปี 2020 โดยขยายตัว 10 % ต่อปี

 

ลองศึกษาหาข้อมูลด้วยการเข้าไปในฟอรั่มของกลุ่มเป้าหมาย สำรวจดูปัญหาของผู้ใช้ใน Quora และ Reddit ขณะเดียวกันก็ทำการค้นคว้าคีย์เวิร์ดไปด้วย จำไว้ว่า คุณต้องการหาทางแก้ปัญหาให้กับปัญหาที่มีอยู่แล้ว

 

เมื่อคุณเจอปัญหาที่ต้องการแก้ไข ก็ถึงเวลาผลิตเนื้อหา ลงมือเขียนคำแนะนำแนวทางในเรื่องต่าง ๆ ให้ข้อมูลที่มีคุณค่า หาเหตุผลที่ทำให้คนอยากเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณ เขียนเพื่อขาย และใช้ประโยชน์จากความเข้าใจลูกค้าตั้งแต่ต้นจนจบการซื้อขาย (buyer’s journey)

 

หมายเหตุ

คุณอาจจะต้องลงทะเบียนตัวคุณเป็นผู้เผยแพร่ในเครือข่ายตัวแทน อย่างเช่น Shareasale มองหาสินค้าหรือแบรนด์คุณภาพที่คุณอยากจะเชื่อมโยงกับแบรนด์ของคุณ

 

ขณะที่คุณกำลังผลิตเนื้อหา คุณจำเป็นต้องสร้างเว็บไซต์ของตัวเองด้วยเช่นกัน อย่าลืมคำนึงถึงเรื่องออกแบบหน้าจออินเตอร์เฟสสำหรับผู้ใช้และประสบการณ์ของผู้ใช้ รวมถึงสร้างเว็บไซต์ที่ดูเป็นมืออาชีพซึ่งให้ความรู้สึกว่าใช้งานฟังก์ชันต่าง ๆ ได้ง่าย

 

คุณยังต้องทำการตลาดเพื่อประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ตัวแทนของคุณด้วย ไม่อย่างนั้นจะไม่มีใครรู้เลยว่ามีเว็บนี้อยู่ เขียนบทความหรือเกสต์บล็อกให้กับเว็บไซต์อื่นเพื่อที่คุณจะได้แปะลิงก์ของคุณเอาไว้ให้คนอ่านได้คลิกกลับมาที่เว็บไซต์ของคุณเอง เข้าไปมีส่วนร่วมในฟอรั่มและตอบคำถามใน Quora สร้างตัวคุณให้เป็นผู้เชี่ยวชาญในสายงานที่คุณทำ

 

คุณควรที่จะสร้างหน้า “ลงทะเบียน” ขอรับวารสารข่าวเพื่อจุดประสงค์ด้านการตลาดทางอีเมลด้วย การที่คนให้ที่อยู่อีเมลกับคุณก็หมายความว่า พวกเขาอนุญาตให้คุณติดต่อพวกเขาโดยตรง ฉะนั้น คุณต้องไม่พลาดใช้ประโยชน์จากการตลาดทางอีเมลเพื่อดึงพวกเขาให้กลับมายังเว็บไซต์ของคุณ !

 

อย่าลืมว่าการขายสินค้าที่ราคาแพงกว่านั้นจะเป็นหัวใจให้ธุรกิจออนไลน์ของคุณได้กำไร เสริมเนื้อหาของคุณด้วยลิงก์ภายในที่เชื่อมผู้อ่านไปยังเนื้อหาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อดึงให้ผู้อ่านใช้เวลาอยู่กับเว็บไซต์ของคุณนานขึ้น ยิ่งผู้อ่านใช้เวลากับเว็บไซต์มากเท่าไหร่ โอกาสที่คุณจะขายของได้ก็มากขึ้นเท่านั้น

 

คุณยังอาจจะลองใช้วิธีหาผู้ที่มีแนวโน้มจะมาเป็นลูกค้าด้วยก็ได้ (lead generation) หลัก ๆ แล้ว มันก็คล้าย ๆ กับการตลาดแบบตัวแทนขายสินค้า ต่างกันตรงที่คุณกำลังสะสมว่าที่ลูกค้าให้กับแบรนด์ต่าง ๆ พุ่งเป้าไปที่ตลาดเป้าหมาย อย่างเช่น บริษัทบัตรเครดิต ธนาคาร ฟินเทค และติดต่อแบรนด์ที่อยู่ในกลุ่มนี้เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับรูปแบบการจ่ายค่าคอมมิชชันเมื่อมีลูกค้าลงทะเบียนใช้บริการบริษัทเหล่านี้

 

ถึงตอนนี้มีหลายอย่างที่คุณควรจำให้ขึ้นใจหากต้องการให้เว็บไซต์ประสบความสำเร็จ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมอยากย้ำมาก ๆ ก็คือ คุณต้องมั่นใจว่าคุณใช้บริการเว็บโฮสติ้งที่ เร็ว จริง ๆ มิเช่นนั้นเว็บของคุณจะดึงดูดผู้ชมได้ไม่เยอะเท่าที่ควร

 

เราได้ทำการค้นคว้าและรวบรวมรายชื่อเว็บโฮสต์ที่เร็วที่สุดมาให้คุณ ที่นี่ หากต้องการรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับคำแนะนำในการสร้างเว็บไซต์ ให้มาทางนี้

 

 

2. เริ่มทำบล็อก

 

แม้ว่าบล็อกและเว็บไซต์นั้นมีความคล้ายคลึงกัน แต่ก็ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน เว็บไซต์โดยส่วนใหญ่จะนำเสนอเนื้อหาแบบที่ไม่เปลี่ยนแปลง (static content) ขณะที่บล็อกจะมีการอัปเดตอยู่เรื่อย ๆ และมีลักษณะเป็นกันเองมากกว่า

 

ขณะที่คนอาจจะติดตามเว็บไซต์เพราะชอบเนื้อหา แต่คนที่ติดตามบล็อกอาจจะเป็นเพราะชื่นชอบบุคลิกของบล็อกเกอร์ก็เป็นได้

 

เมื่อบล็อกของคุณมีคนติดตามมากพอ คุณก็สามารถสร้างรายได้โดยการขายพื้นที่โฆษณา เขียนโพสต์ตามที่ได้รับสปอนเซอร์ ให้บริการคำปรึกษา และแม้แต่ทำการตลาดแบบตัวแทนขายสินค้าก็ย่อมได้

 

อันที่จริง มีบล็อกเกอร์ค่อนข้างเยอะที่เปลี่ยนบล็อกของตัวเองให้เป็นช่องทางธุรกิจออนไลน์เล็ก ๆ และประสบความสำเร็จ

 

Tim Ferriss เป็นคนทีี่ใคร ๆ ก็รู้จักเพราะเขียนบล็อกอันโด่งดังชื่อ 4-Hour Work Week ในขณะที่ Aimee Song ก็เป็นเจ้าแม่แห่งวงการแฟชัน

 

หนึ่งในแพลตฟอร์มโปรดของเราในการสร้างบล็อกคือ WordPress เครื่องมือสร้างเว็บไซต์ที่ใช้งานง่าย สมบูรณ์แบบสำหรับบล็อกเกอร์ หากมันเป็นสิ่งที่คุณอยากทำ คุณอาจจะอยากเข้าไปศึกษา บทความนี้

 

ขอย้ำอีกครั้งว่า ต้องหาทางออกสำหรับปัญหาที่มีอยู่แล้ว เขียนให้ขายได้ สร้างเว็บไซต์ให้ดูดีมีสกุล สร้างตัวคุณให้เป็นผู้เชี่ยวชาญ ใช้ประโยชน์จากการตลาดทางอีเมล และต้องเชียร์ขายสินค้าที่มีราคาแพงกว่าอยู่เสมอ!

 

 

3. เริ่มทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซ

 

แพลตฟอร์มสำหรับช้อปปิ้งทางออนไลน์อย่าง Amazon ได้รับความนิยมมากขึ้นทุกวัน ฉะนั้น ใคร ๆ ก็อยากเข้าไปขายสินค้าในร้านของเว็บยักษ์ใหญ่ค่ายนี้โดยอัตโนมัติ

 

แต่หากคุณต้องการสร้างแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จไปนาน ๆ คุณอาจจะต้องสร้างธุรกิจอีคอมเมิร์ซของตัวเองขึ้นมา

 

อย่าเข้าใจผมผิดนะ การขายของใน Amazon ไม่ได้เสียหายอะไรตรงไหนหรอก (ขนาดแบรนด์ดัง ๆ ยังขายใน Amazon เลย) มันก็แค่เพราะว่า แบรนด์น้องใหม่อย่างคุณจะต้องแข่งขันกับคนอีกหลายร้อยหรือไม่ก็หลายพันคนที่ขายสินค้าเหมือน ๆ กับคุณในแพลตฟอร์มเหล่านี้

 

เมื่อคุณสร้างร้านค้าออนไลน์ของคุณเองแล้ว คุณจะสามารถปรับแต่งร้านและวางจุดยืนของแบรนด์ในแบบที่โดดเด่นออกมาจากเหล่าคู่แข่งได้ และหนึ่งในหนทางที่ดีที่สุดในการเริ่มต้นก็คือ การสร้างร้านผ่าน Shopify

 

แพลตฟอร์มนี้สร้างขึ้นมาเพื่ออีคอมเมิร์ซ ใช้งานง่าย และมีเครื่องมือการตลาดที่น่าทึ่งมาก

 

คุณสามารถลองทำ Dropshipping ด้วยก็ได้ ซึ่งเป็นหนึ่งโมเดลธุรกิจที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในขณะนี้เพราะคุณแทบจะไม่ต้องจ่ายอะไรมากมายเลย สินค้าจะอยู่ที่โกดังของซัพพลายเออร์คุณ และทางซัพพลายเออร์จะส่งของให้ลูกค้าต่อเมื่อคุณได้รับออเดอร์เท่านั้น คุณแค่ต้องระมัดระวังและหาซัพพลายเออร์ที่ดี เพราะซัพพลายเออร์ที่ไม่ดีจะให้บริการที่แย่และจะพาลทำแบรนด์ของคุณเสียหายไปด้วย

 

คุณจะต้องลงทุนทำการตลาดเพื่อทำให้สินค้าของคุณได้ออกมาโชว์บนหน้าจอมากพอ คุณต้องจำหลักปฏิบัติ 6 ข้อที่ดีที่สุดเอาไว้ในใจเสมอ และธุรกิจของคุณจะอยู่รอดไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม

 

 

4. เริ่มทำธุรกิจการออกแบบที่สร้างสรรค์

 

ความต้องการด้านทัศนศิลป์แบบดิจิทัลนั้นมีอยู่เสมอ และถึงแม้ว่าจะมีโปรแกรมฟรีให้ใช้กัน คนก็ชอบที่จะจ่ายเงินให้มืออาชีพทำงานอาร์ตเวิร์กให้พวกเขาอยู่ดี พวกเขาเข้าใจดีว่า ผู้ที่สร้างงานศิลปะคือตัวศิลปิน ไม่ใช่เครื่องมือ

 

คุณอาจจะอยากเก่งด้านการออกแบบโลโก้ การออกแบบเว็บไซต์ หรือแม้แต่การออกแบบกราฟิกทั่วไป

 

สร้างชื่อให้ตัวคุณเองด้วยการแชร์เคล็ดลับการออกแบบที่มีประโยชน์ในฟอรั่มต่าง ๆ เช่น ใน Quora หรือแชร์กับคนที่อยู่ในแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเดียวกัน อย่ากังวลเรื่องการแชร์ทักษะหรือเผยเคล็ดลับให้ผู้อื่นได้รู้

 

คนสามารถเข้า Youtube เพื่อค้นหาทุกอย่างที่ต้องการรู้ได้ก็จริง แต่คนก็ยังอยากที่จะจ่ายเงินจ้างมืออาชีพมาทำให้งานแล้วเสร็จอย่างเป็นมืออาชีพ

 

จำเอาไว้ว่า หากคุณให้คุณค่า คุณจะได้รับคุณค่ากลับมามากขึ้นกว่าเดิม

 

 

5. เริ่มทำธุรกิจประเภทสตูดิโอหรือผลิตสื่อ

 

ความต้องการด้านการผลิตภาพและวิดีโอนั้นมีมากกว่าที่เคยเป็นมา ต้องยกความดีให้กับการโฆษณาทางดิจิทัล / โซเชียลมีเดีย มันน่าสนใจ น่าดึงดูด และที่สำคัญที่สุดคือมันต้องมีการแปลงสภาพเข้ามาด้วย

 

คุณสามารถเริ่มสตูดิโอที่เน้นการผลิตภาพ เสริมแต่งภาพ ผลิตวิดีโอ หรือมุ่งเน้นไปในเรื่องการผลิตสินค้าดิจิทัล เช่น วอลเปเปอร์โทรศัพท์มือถือเพียงอย่างเดียวก็ได้

 

คุณจะเสนอให้บริการบริษัทโฆษณาก็ได้หรือจะส่งภาพและวิดีโอไปขายในแพลตฟอร์ม เช่น Shutterstock หรือ Blackbox หรือจะลงทะเบียนสมัครเข้าร่วมโครงการอย่างเช่น Samsung’s developer program และสร้างธีมเพื่อขายใน Galaxy ได้

 

ที่ยอดเยี่ยมที่สุดคือ คุณสามารถเพิ่มขนาดธุรกิจของคุณได้ด้วยการจ้างช่างภาพอิสระ ! แต่ต้องตระหนักเอาไว้เสมอว่า หากคุณหาคนฝีมือดี ๆ เจอแล้ว คุณจะต้องกอดเอาไว้แน่น ๆ ราวกับชีวิตคุณจะขาดพวกเขาไม่ได้ คนทำงานอิสระที่พึงพาได้จริง ๆ หาไม่ง่ายเลย ถ้าคุณได้เจอแล้วล่ะก็ คุณควรให้รางวัลงาม ๆ กับพวกเขา!

 

 

6. สร้างโปรแกรมการสอนทางออนไลน์

 

ทุกวันนี้ การสอนทางออนไลน์แข่งกันดุเดือดมาก ทั้งราคาถูก ข้อมูลเป๊ะ และคุ้มค่ากับทั้งผู้บริโภคและผู้ผลิตเนื้อหา และที่เจ๋งที่สุดคือ คุณผลิตโปรแกรมการสอนเพียงครั้งเดียวแต่มันจะสร้างรายได้ให้คุณไปเรื่อย ๆ โดยที่คุณไม่ต้องทำอะไรเพิ่ม !

 

จงสร้างธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับโปรแกรมการเรียนรู้ทางออนไลน์ ผลิตสื่อการสอนและเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ และอัปโหลดเข้าไปในแพลตฟอร์มการเรียนรู้ อย่างเช่น Udemy และคุณจะได้มีสินค้าที่ไม่มีวันหมดอายุเลย!

 

 

รวบยอดขั้นสุดท้าย

 

ต่อไปนี้จะเป็นการทบทวนถึงสิ่งที่เราสามารถทำได้เพื่อให้แน่ใจว่าธุรกิจออนไลน์เล็ก ๆ ของคุณจะเจริญรุ่งเรื่องราวกับปลากระโทงโผขึ้นพ้นน้ำอย่างสง่าผ่าเผย (หากลองนึกภาพแบบสโลโมชั่นจะได้อารมณ์กว่า)

 

  1. แก้ไขปัญหาที่มีอยู่แล้ว
    ค้นให้เจอปัญหาที่แก้ไม่ตกของลูกค้า และแก้ปัญหาให้พวกเขา
  2. เขียนเพื่อให้ขายได้
    ไม่มีใครชอบอ่านหรอก ฉะนั้น คุณต้องแน่ใจให้ได้เลยว่า สิ่งที่คุณเขียนในโฆษณาจะ ขาย ได้จริง ๆ !
  3. สร้างเว็บไซต์ที่ให้ความรู้สึกแบบพรีเมียม
    คุณจะขายมันฝรั่งหรือกระเป๋าถือหรูหราราคาแพงไม่ใช่เรื่องสำคัญ สิ่งที่สำคัญคือ คุณต้องดูแลให้ร้านของคุณดูดี
  4. สร้างตัวคุณให้เป็นผู้เชี่ยวชาญในสายงานของคุณ
    มอบคุณค่าแก่ลูกค้าด้วยความรู้ที่คุณมีและพวกเขาจะตอบแทนคุณด้วยสิ่งที่มีค่าสำหรับคุณไปตลอดชีวิต
  5. ใช้ประโยชน์จากการตลาดทางอีเมล
    นี่เป็นการสื่อสารโดยตรงไปยังลูกค้าของคุณ จงใช้ให้เป็นประโยชน์ แต่ต้องทำอย่างรู้กาลเทศะ
  6. โน้มน้าวลูกค้าเดิมให้ซื้อสินค้าที่แพงกว่า
    ถ้าลูกค้าเคยซื้อกับคุณแล้ว ลูกค้าก็จะซื้อกับคุณอีก คุณแค่ต้องหาเหตุผลให้พวกเขาเท่านั้นเอง

 

ได้ไปหมดแล้วนะครับ 6 ขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยให้การลงทุนทำธุรกิจเล็ก ๆ ของคุณได้กำไรอยู่เสมอ ให้แน่ใจได้ว่า คุณจำทั้งหมดนี้ได้แม่นหรือใช้เคล็ดลับเหล่านี้ในการสร้างแบรนด์ให้ตัวเอง สักวันหนึ่ง คุณจะหันกลับมามองเส้นทางความสำเร็จของคุณและรู้สึกขอบคุณ Google ที่บังเอิญพาคุณมาเจอบทความที่สวรรค์ส่งมาให้ชิ้นนี้

 

เอาล่ะ หากคุณมีคำถามอะไรที่ต้องการให้เราช่วยตอบ ทิ้งข้อความไว้ให้เราในกล่องข้อความหรืออีเมลl เราจะตอบกลับโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตอนนี้ได้เวลาออกไปแสดงให้โลกเห็นแล้วว่า ผู้ประกอบการตัวเล็ก ๆ ธรรมดา ๆ อย่างเราสามารถทำสำเร็จได้มากเพียงใด