เนื้อหาของ Bitcatcha เกิดจากการสนับสนุนของผู้อ่าน เมื่อคุณซื้อผ่านลิงก์บนเว็บไซต์ของเรา เราอาจได้รับค่าคอมมิชชั่นจากพันธมิตร เรียนรู้เพิ่มเติม

รวมทุกอย่างที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับ SuperCacher ของ SiteGround และวิธีการทำให้เว็บไซต์ของคุณเร็วขึ้นถึง 4 เท่า

เขียนโดย
Elliot Boey
อัปเดตแล้ว
December 11, 2023

 

ก่อนจะไปกันที่บทความ ผมขอบอกก่อนว่า เราเข้าใจดีว่าบทความทางเทคโนโลยีอาจจะทำให้คุณสับสนได้ไม่น้อยทีเดียว (และอาจจะน่าเบื่อสักหน่อย) จากศัพท์แสงและเนื้อหาเชิงเทคนิคที่เกี่ยวข้องทั้งหมด

 

ดังนั้น เราจึงตัดสินใจเขียนบทความนี้ให้ซับซ้อนน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อช่วยให้คุณซึ่งเป็นผู้ใช้เข้าใจเกี่ยวกับ SuperCacher ของ SiteGround และเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ของคุณโดยไม่ต้องพูดคุยกันด้วยภาษาเทคโนโลยีที่แสนจะงงงวย

 

 

การทำแคชหรือแคชชิ่งคืออะไร มันทำให้เว็บไซต์เร็วขึ้นได้อย่างไร

 

แคชชิ่งคืออะไรกันแน่

 

คุณก็รู้ใช่ไหมว่า บางคนเพิ่มประสิทธิภาพโต๊ะทำงานหรือห้องครัวด้วยการจัดวางอุปกรณ์ที่ใช้บ่อยที่สุดไว้ในที่ซึ่งหยิบใช้ได้ง่ายที่สุดหรือสะดวกที่สุดเพื่อทำให้การทำงานคล่องตัวขึ้น

 

แคชชิ่งก็คือการทำแบบนั้นเหมือนกัน

 

การทำแคชหรือแคชชิ่งคือ การบันทึกข้อมูลใน RAM ของคุณเพื่อที่ครั้งต่อไปเมื่อคุณเข้าไปยังเว็บไซต์เดิม ข้อมูลที่บันทึกไว้ในหน่วยความจำก็จะถูกดึงออกมา ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการแสดงเว็บไซต์ ส่งผลให้คุณไปถึงส่วนที่ต้องการและได้ดูสิ่งที่คุณต้องการดูได้เร็วกว่าปกติมาก.

 

แคชชิ่งมีผลกับเราอย่างไร?

 

เว็บไซต์ส่วนใหญ่ที่เราเข้าเป็นประจำทุกวันจะเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์ด้วยการทำแคชแต่เพราะว่าเราทุกคนใช้จนชินกับมันมากจนไม่รู้เลยว่ามันมีอยู่

 

ตัวอย่างเช่น ลองเปิดแท็บใหม่พร้อมกับเปิดเว็บไซต์อันโปรดของคุณ มันน่าจะใช้เวลาโหลดน้อยกว่า 5 วินาที ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณข้อมูลที่การผ่านทำแคชมาแล้วทั้งสิ้น

 

คราวนี้ลองนึกดูว่า ถ้าเกิดเราต้องรอโหลดหน้าเว็บนานกว่า 12 วินาที คุณจะรู้สึกอย่างไร อันที่จริง มันเป็นแค่ความไม่สะดวกเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ในยุคที่ทุกอย่างต้องทันใจ การรอเพียงแค่นี้ก็ถือว่า ยาวนาน

 

ความเร็วมีผลต่อธุรกิจของคุณอย่างไร

 

โดยเฉลี่ยแล้ว ผู้ใช้คาดว่าเว็บไซต์จะโหลดเสร็จได้ภายในเวลาไม่ถึง 2 วินาที ถ้าถึง 3 วินาที ผู้ใช้จะรู้สึกว่า มันช้าเกินไป แล้วถ้ามากกว่า 4 วินาทีล่ะ คนส่วนใหญ่ก็จะเลิกสนใจและเปลี่ยนไปเข้าเว็บไซต์ใหม่เลย

 

ความเร็วมีความสำคัญมากสำหรับร้านค้าออนไลน์ ลองคิดดูว่า ถ้าหากบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านการช็อปปิ้งออนไลน์อย่าง Amazon ปล่อยให้เว็บไซต์ของตัวเองช้าลงเพียง 1 วินาที Amazon จะต้องสูญเสียรายได้ประมาณ 116,000 ดอลล่าร์สหรัฐต่อนาทีเลยทีเดียว !! ทีนี้ลองนึกดูว่ายอดขายของคุณอาจจะลดลงสักเท่าไหร่จากความช้าของเว็บไซต์ น่าคิดใช่มั้ยล่ะ

 

 

SiteGround SuperCacher 101

 

SiteGround SuperCacher Explained

 

SuperCacher ของ Siteground ประกาศตัวว่า สามารถทำให้เว็บไซต์โหลดได้เร็วขึ้นถึง 4 เท่า และยังเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ได้มากขึ้น 100 เท่า โดยใช้วิธีการทำแคชที่แตกต่างกัน 3 วิธีในการเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ของคุณ ซึ่งวิธีการทั้งหมดนั้นง่ายจนนำไปใช้ได้ไม่ยาก

 

แคชชิ่งแต่ละแบบทำงานไม่เหมือนกันและเหมาะกับการเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์คนละประเภท ลองมาดูแบบต่าง ๆ อย่างเจาะลึกเพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้ว่า แบบไหนเหมาะที่สุดสำหรับคุณ!

 

แคชแบบคงที่

 

TL;DR

 

แคชแบบคงที่ของ Siteground:

  1. เพิ่มประสิทธิภาพในการส่งเนื้อหาให้กับผู้ใช้
  2. เพิ่มความเร็วในเว็บไซต์ที่ช้าให้เร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
  3. เพิ่มความสามารถของเว็บไซต์ในการรองรับการเข้าชมที่มากขึ้น
  4. เป็นวิธีการที่เหมาะสำหรับเว็บไซต์ทุกประเภท

 

แคชแบบคงที่ของ Siteground เก็บข้อมูลคงที่ทั้งหมดของเว็บไซต์ของคุณ (รวมไปถึงรูปภาพ, ไฟล์ CSS และไฟล์ Javascript) ใน RAM ของเซิร์ฟเวอร์แทน SSD ดังนั้น ผู้เข้าชมเว็บไซต์จะโหลดเนื้อหาของคุณได้โดยตรงจากแคช

 

เนื้อหาของคุณจะถูกส่งเร็วขึ้นมากและจะช่วยให้ผู้เข้าชมได้รับประสบการณ์ที่ราบรื่นเมื่อเข้าเว็บไซต์ของคุณ เนื่องจากการโหลดจาก RAM จะเร็วกว่ามากเมื่อเทียบกับการโหลดจาก SSD

 

แคชแบบคงที่ยังช่วยล้างและต่ออายุข้อมูลของคุณโดยอัตโนมัติทุก ๆ 3 ชั่วโมง ดังนั้น หากมีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ในเว็บไซต์ของคุณ ก็จะมีการอัปเดตข้อมูลแบบอัตโนมัติโดยที่คุณไม่ต้องยุ่งยาก

 

แคชแบบไดนามิก

 

TL;DR

 

แคชแบบไดนามิก:

  1. เหมาะสำหรับเว็บไซต์ที่ใช้ Joomla, WordPress และ Drupal
  2. การเปิดใช้งานแคชแบบไดนามิกจะทำให้แคชแบบคงที่เปิดใช้งานไปด้วยโดยอัตโนมัติ
  3. ทำงานร่วมกันกับแคชแบบคงที่
  4. ปรับปรุงประสิทธิภาพและความเร็วของเว็บไซต์ได้อย่างดีเยี่ยม

 

แคชแบบไดนามิกจะสร้างเนื้อหาแบบไดนามิกของเว็บไซต์ของคุณไว้หลายชุด โดยข้อมูลจะถูกเก็บไว้ใน RAM ของเซิร์ฟเวอร์และทำงานร่วมกับแคชแบบคงที่

 

คนแรกที่เข้าชมเว็บไซต์ซึ่งเพิ่งล้างข้อมูลด้วยแคชแบบไดนามิกจะโหลดเนื้อหาทั้งหมดของเว็บไซต์จากฐานข้อมูลในเซิร์ฟเวอร์ แต่ผู้เข้าชมรายต่อ ๆ ไปจะโหลดข้อมูลจาก RAM ของเซิร์ฟเวอร์ซึ่งเร็วกว่ามาก

 

เมื่อพูดถึงการล้างข้อมูล คุณจะต้องล้างด้วยตัวเอง จริง ๆ แล้ว มันทำได้ง่าย แต่จะเป็นการเพิ่มอีกหนึ่งขั้นตอนเวลาที่คุณอัปเดตเว็บไซต์ของคุณ

 

คุณสามารถใช้แคชแบบไดนามิกได้กับ Joomla, WordPress และ Drupal (สำหรับเว็บไซต์ WordPress ปลั๊กอินแคชแบบไดนามิกของ ปลั๊กอินแคชแบบไดนามิก SiteGround ได้รับการติดตั้งไว้ล่วงหน้าแล้ว สิ่งที่คุณต้องทำคือ เข้าไปเปิดใช้งานในพื้นที่แอดมิน WordPress ของคุณ)

 

เมมแคช

 

TL;DR

 
เมมแคช:

  1. เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดหากคุณทำร้านค้าออนไลน์ซึ่งต้องใช้การสืบค้นฐานข้อมูล
  2. เพิ่มความเร็วอย่างเห็นได้ชัดด้วยการใช้ข้อมูลที่เก็บไว้ใน RAM มา
    รองรับการสืบค้นข้อมูล
  3. ทำงานร่วมกับ WordPress Magento Mediawiki Drupal และ Joomla!
  4. ไม่มีการล้างอัตโนมัติ

 

จริงๆแล้ว เมมแคช คือการใช้พื้นที่ของ Siteground เองกับระบบเมมแคชที่มีชื่อเสียง ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อจัดการกับบรรดาเว็บไซต์ที่ต้องอาศัยการสืบค้นฐานข้อมูลเป็นอย่างมาก มันทำหน้าที่จัดเก็บข้อมูลและสิ่งอื่น ๆ ไว้ใน RAM ของเซิร์ฟเวอร์ของ Siteground เร่งการเรียกใช้ฐานฐานข้อมูล การเรียกใช้ API รวมถึงการแสดงผลหน้าเพจ

 

สรุปสั้นๆก็คือ เป็นการใช้ข้อมูลที่เก็บไว้ใน RAM มารองรับการสืบค้นข้อมูล ซึ่งช่วยลดจำนวนครั้งที่จะต้องเข้าไปถึงฐานข้อมูลจริง ๆ หากคุณเปิดร้านค้าออนไลน์ เมมแคชอาจจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคุณ

 

เมื่อคุณเปิดใช้งานบริการแล้ว กระบวนการเมมแคชใหม่จะเกิดขึ้นซึ่งคุณจะสามารถควบคุมได้ใน Cpanel

 

ไม่มีการล้างข้อมูลอัตโนมัติในระบบเมมแคช ดังนั้นคุณจะต้องจำไว้ว่าคุณต้องทำเองเมื่อคุณเปลี่ยนแปลงเว็บไซต์ของคุณ

 

เราก็ใช้เว็บโฮสติ้ง !

 

เราลองทดสอบด้วยการนำเว็บไซต์ทดลองของเราไปฝากไว้กับ SiteGround ภายใต้แพ็กเกจ เกจ GrowBig เพื่อทดสอบความเร็วด้วยการใช้งานแคชแบบคงที่ แคชแบบไดนามิก และเมมแคช ผลลัพธ์ท่ี่ได้ก็น่าทึ่งตามที่คาดไว้

 

สำหรับเว็บไซต์ทดลองของเราซึ่งฝากไว้ที่ศูนย์ข้อมูลของ SiteGround ในสิงคโปร์ เราได้ใช้ GTmetrix ในการวัดความเร็วของการโหลด เราตั้งค่าเซิร์ฟเวอร์ต้นทางไว้ที่เมืองแวนคูเวอร์ในประเทศแคนาดาและเซิร์ฟเวอร์ปลายทางเป็นสิงคโปร์ ส่วนเบราว์เซอร์เป็น Chrome เราตั้งค่าเหมือนกันสำหรับการทดสอบสองแบบ คือ แบบใช้และไม่ใช้ SuperCacher

 

SuperCacher Review: testing website with and without supercacher

 

ผลลัพธ์

เว็บไซต์ทดลองที่ใช้ SuperCacher จะโหลดได้ใน 1.8 วินาที ขณะที่เว็บไซต์เดียวกันที่ไม่ได้ใช้ SuperCacher จะใช้เวลาโหลด 3 วินาที แตกต่างกันถึง 40% !

 

 

 

วิธีเปิดใช้งาน SuperCacher และรับ Superspeed

 

การเปิดใช้งาน SuperCacher สำหรับเว็บไซต์ของคุณนั้นง่ายมาก สิ่งที่คุณต้องทำเพียงอย่างเดียวคือ ตรวจดูให้แน่ใจว่าคุณได้ติดตั้งปลั๊กอินที่ถูกต้องสำหรับระบบของคุณ (Siteground มีโปรแกรมสอนคุณ) ไปที่ Cpanel -> SuperCacher และเลือกวิธีการทำแคชแบบที่คุณต้องการ!

 

Look for SuperCacher in cPanel

ขั้นตอนที่ 1: มองหา SuperCacher ใน cPanel

 

Enable different caching with a flip of switch

ขั้นตอนที่ 2: เลือกใช้งานแคชที่ต้องการด้วยการกดปุ่มเปิดใช้งาน

 

 

SiteGround SuperCacher คือหัวใจของความเร็วเว็บไซต์ของคุณ

 

หลังจากเห็นการอัปเกรดประสิทธิภาพและความเร็วที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลจากการใช้ SuperCacher ผมรู้สึกได้เลยว่า เจ้าของธุรกิจทุกคนควรใช้งานสิ่งนี้บนเว็บไซต์ของตัวเอง

 

นักช้อปออนไลน์เป็นกลุ่มที่เปลี่ยนใจง่าย หากคุณไม่สามารถตอบสนองความต้องการได้ทันใจ พวกเขาจะลืมคุณและเอาเงินไปซื้อที่อื่น

 

ก่อนหน้านี้ ผมได้พูดถึงบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Amazon ว่า จะสูญเสียรายได้ถึง 116,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อนาที หากเว็บไซต์ของพวกเขาช้าลงแค่เพียงวินาทีเดียว

 

เราไม่สามารถประเมินเป็นต้วเลขอย่างชัดเจนว่า ยอดขายของคุณจะเพิ่มขึ้นมากแค่ไหนจากการใช้งาน SiteGround SuperCacher แต่อย่างน้อยเราก็พูดได้อย่างมั่นใจว่า มีโอกาสมากขึ้นที่คุณจะเห็นลูกค้ากลับมาหาคุณในจำนวนที่มากขึ้นกว่าเดิม หากเว็บไซต์ของคุณเร็ว เชื่อถือได้และรองรับแรงกดดันจากปริมาณคนเข้าชมได้ เพราะ SuperCacher ของ SiteGround ถูกสร้างขึ้นมาเพื่องานนี้โดยเฉพาะ

 

แล้วจะรออะไร เปิดใช้งาน SuperCacher กับเว็บไซต์ของคุณตอนนี้เลย คุณไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่ม แถมยังได้ประโยชน์ทุกอย่างอีกต่างหาก