ยินดีต้อนรับเข้าสู่เครือข่ายเสมือนส่วนบุคคล (VPN) 101 เพื่อเป็นการเกริ่นนำแบบสั้น ๆ ผมเองได้ใช้ VPN มาไม่นานนักซึ่งจริง ๆ แล้วไม่ถึงหนึ่งปีเองครับ แต่ก่อนหน้านั้นผมคิดชั่งใจอยู่นานพอสมควรทีเดียว
ในช่วงเวลากว่าสองปีที่คิดชั่งใจ ผมมีคำถามมากมายที่เกิดขึ้นในใจของผม บางคำถามยิ่งทำให้เกิดคำถามมากขึ้นไปอีก อุปสรรคแรกที่ต้องเอาชนะในตอนแรกคือ:
คู่มือเริ่มต้น VPN
สรุป
VPN เชื่อมต่อพีซี Mac แท็บเล็ตหรืออุปกรณ์อื่น ๆ ของคุณกับอินเทอร์เน็ตผ่านคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น คุณกำลังเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตของคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นแทนที่จะเชื่อมต่อโดยตรงผ่านอินเทอร์เน็ตของคุณเอง นอกเหนือจากนั้น VPN ยังเข้ารหัสข้อมูลที่คุณส่งเพื่อให้ปลอดภัย
บริการพื้นฐานที่สุดของ VPN คือช่วยให้ผู้ใช้บริการสามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้อย่างปลอดภัยและเป็นส่วนตัว นั่นคือ การเชื่อมต่อกับบริการ VPN ก่อนที่จะเชื่อมต่อไปยังที่อยู่อินเทอร์เน็ตที่คุณต้องการ ตำแหน่งของคุณจะเป็นที่รับรู้ก็เฉพาะผู้ให้บริการ VPN เท่านั้น
มาดูกันว่าสิ่งนี้มีประโยชน์สำหรับอะไรบ้าง :
สำหรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตามปกติ เมื่อคุณพยายามเข้าถึงเว็บไซต์ทางอินเทอร์เน็ต คอมพิวเตอร์ของคุณจะส่งคำขอผ่านเซิร์ฟเวอร์ของ ISP ซึ่งจะเชื่อมต่อคุณกับเว็บไซต์ ส่วนการเชื่อมต่อ VPN คุณจะเชื่อมต่อโดยตรงกับเซิร์ฟเวอร์ของ VPN โดยข้ามเซิร์ฟเวอร์ของ ISP ของคุณ
หากคุณเคยได้ยินเกี่ยวกับไฟร์วอลล์มาก่อน VPN ก็ทำหน้าที่ในลักษณะเดียวกันในการป้องกันและปกป้องการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตของคุณโดยใช้เซิร์ฟเวอร์ส่วนตัวและเข้ารหัสข้อมูล
องค์ประกอบสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้ VPN เป็นที่ต้องการคือความปลอดภัย การเชื่อมต่อ VPN ช่วยให้ข้อมูลทั้งหมดที่คุณส่งและรับได้รับการเข้ารหัส ดังนั้น หากมีใครพยายามสอดส่องข้อมูลที่คุณกำลังส่ง การเข้ารหัสจะช่วยปกป้องข้อมูลของคุณให้ปลอดภัย (หรืออย่างน้อยก็ปลอดภัยกว่าการส่งโดยไม่เข้ารหัส)
ลองพิจารณาสถานการณ์ลักษณะนี้ดูครับ คุณกำลังหาซื้อของออนไลน์และกำลังจะซื้อสินค้า คุณอาจจะต้องส่งข้อมูลบัตรเครดิตของคุณไปยังผู้ขาย หรือคุณอยู่ที่ร้านกาแฟและพยายามเข้าถึงอีเมลของคุณ รหัสผ่านของคุณจะต้องถูกส่งไปยังอีเมลเซิร์ฟเวอร์ของคุณเพื่อทำการยืนยัน นี่เป็นสองกรณีตัวอย่างง่าย ๆ ที่ VPN สามารถช่วยให้คุณและข้อมูลของคุณปลอดภัย
ที่อยู่ IP VPN และการรับส่งข้อมูลที่เข้ารหัสเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะปกป้องคุณจากการถูกระบุตัวตนได้ จริงอยู่มันทำให้คุณถูกติดตามหาตัวได้ยากขึ้น แต่คนที่เก่งทางเทคนิคก็ยังสามารถติดตามหาตัวคุณได้
ที่อยู่ IP ของคุณไม่ใช่สิ่งเดียวที่ระบุตัวของคุณบนโลกออนไลน์ ในความเป็นจริงมีบางกรณีเหมือนกันที่รับรู้กันว่า VPN ก่อให้เกิดการรั่วไหลของที่อยู่ IP จริง
วิธีอื่น ๆ ที่ทำให้ติดตามหาตัวคุณได้ก็อย่างเช่น การที่มีคนเอาข้อมูลส่วนตัวของคุณมาเปิดเผยในโลกออนไลน์หรือ doxing การใช้มัลแวร์ ความประมาทเผลอเรอและอื่น ๆ
ผมจะบอกว่า การที่คุณไม่ต้องการเปิดเผยตัวตนและไม่อยากถูกติดตามหาตัวได้ (หรือคุณหวาดระแวงแค่ไหน) จะส่งผลต่อรูปแบบการผสมผสานบริการของคุณ
ตัวอย่างเช่น คุณสามารถใช้ VPN ร่วมกับเบราว์เซอร์ที่ไม่ระบุตัวตนอย่าง TOR รวมถึงโปรแกรมความปลอดภัยทางอินเทอร์เน็ต บวกกับการใช้พลังความคิดเวลาทำกิจกรรมทางออนไลน์โดยเฉพาะในแง่ของการแชร์ข้อมูล
ฉะนั้น ขอตอบสั้น ๆ ว่า ไม่ คุณไม่สามารถหลบจากการถูกติดตามหาตัวได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
เมื่อคุณเชื่อมต่อกับบริการ VPN การรับส่งข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตและการสื่อสารทั้งหมดของคุณจะผ่านอุโมงค์ที่ปลอดภัย นั่นคือสิ่งที่ช่วยให้ข้อมูลของคุณเป็นส่วนตัวและปลอดภัย
VPN แต่ละรายใช้โปรโตคอลต่าง ๆ เพื่อวัตถุประสงค์นี้ซึ่งมีระดับความปลอดภัยที่แตกต่างกัน ต่อไปนี้คือตัวอย่างบางส่วน
นี่คือสิ่งที่จำเป็นต้องทราบเนื่องจากไม่ใช่ผู้ให้บริการ VPN ทุกรายจะมีนโยบายไม่บันทึกการใช้งาน โดยปกติประวัติการท่องอินเทอร์เน็ตของคุณจะถูกบันทึกไว้ หากไม่มีการเก็บข้อมูลเหล่านี้ไว้ แน่นอนว่าผู้ให้บริการ VPN ก็ไม่สามารถขายหรือส่งมอบบันทึกการใช้งานให้กับรัฐบาลหรือหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายใช่ไหมล่ะครับ
หาก VPN รายไหนไม่มีนโยบายบันทึกการใช้งาน ก็จะระบุเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจนในเว็บไซต์ ยกตัวอย่างเช่น PureVPN ซึ่งเป็นหนึ่งในหลาย ๆ รายที่ไม่บันทึกการใช้งานของผู้ใช้บริการ
VPN ส่วนใหญ่จะมีกระบวนการของตัวเอง แต่สิ่งที่เป็นพื้นฐานเหมือนกันคือคุณต้องติดตั้งซอฟต์แวร์ VPN บนอุปกรณ์ของคุณ (เช่นเราเตอร์ พีซีหรือสมาร์ทโฟนของคุณ) การตั้งค่าอาจจะทำได้ง่าย ๆ เพียงแค่กรอกชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน VPN ของคุณเมื่อคุณเปิดใช้งานซอฟต์แวร์ แต่มี VPN บางรายที่ให้คุณเลือกทำได้มากกว่านี้
สิ่งที่เลือกทำได้เพิ่มเติมก็อย่างเช่น เลือกโปรโตคอลความปลอดภัยที่คุณต้องการใช้ หรือเลือกตำแหน่งเซิร์ฟเวอร์ที่คุณต้องการเชื่อมต่อด้วยตนเอง
มีอุปกรณ์สามประเภทหลัก ๆ ที่สามารถใช้กับ VPN ได้ (ขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการ) ได้แก่ คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ แล็ปท็อป สมาร์ทโฟน แท็บเล็ตและเราเตอร์ ถ้าพูดให้เฉพาะเจาะจงลงไปก็คือ บริการนี้ทำงานบนแพลตฟอร์มที่มี Windows, Mac OS, iOS, Android และ Linux (เราเตอร์ส่วนใหญ่จะใช้ Linux)
โปรดทราบว่าเราเตอร์บางตัวไม่รองรับการใช้ VPN หากคุณกำลังใช้แบรนด์และรุ่นยอดนิยมยี่ห้อหนึ่งที่คุณภาพดีกว่า คุณก็น่าจะใช้ VPN ได้ แต่ควรตรวจสอบกับผู้ผลิตหรือเข้าไปสอบถามในฟอรัม ผมใช้ TP-Link Archer C7 ซึ่งรองรับได้
ผมรู้ว่ามีบางเว็บไซต์ที่บอกว่าคุณต้องใช้เฟิร์มแวร์เฉพาะด้านอย่าง DD-WRT หรือ Tomato แต่นั่นไม่เป็นความจริง อย่างไรก็ตาม หากเราเตอร์ของคุณไม่ได้ถูกตั้งค่าให้รองรับ VPN มาตั้งแต่แรก คุณก็แค่ทำแฟลชและใช้เฟิร์มแวร์ตัวใดตัวหนึ่งที่อาจจะช่วยคุณได้
ต่อมาขอย้ำข้อควรระวัง: แม้ว่าคุณจะใช้ VPN บนโทรศัพท์มือถือของคุณ แต่ก็มีแอปจำนวนมากในโทรศัพท์มือถือ (ซึ่งคุณอาจจะติดตั้งไว้แล้ว) ซึ่งจะเก็บข้อมูลมากกว่าแค่ที่อยู่ IP ของคุณ จำได้ไหมครับว่าเวลาจะติดตั้งแอปเหล่านัั้น คุณจะต้องอนุญาตตามคำขอบางอย่าง นั่นหมายความว่าแม้จะใช้ VPN แต่ข้อมูลของคุณบางอย่างก็ยังถูกส่งไปยังผู้พัฒนาแอปเหล่านั้นได้อยู่ดี
บอกตรง ๆ เลยว่า ก็ไม่ยากอะไรขนาดนั้น ผู้ให้บริการ VPN เกือบทุกรายมีเอกสารหรือวิดีโอมากมายสอนเกี่ยวกับวิธีตั้งค่าแอปพลิเคชั่นบนอุปกรณ์ต่าง ๆ ผมได้ดูมาหลายรายพอสมควรแล้วและบางรายก็ไปไกลถึงขั้นมีวิดีโอเกี่ยวกับวิธีการตั้งค่าทีละขั้นตอนเลยทีเดียว
ลองดูตัวอย่างหน้าวิธีการตั้งค่าของ ExpressVPN ดูกันครับ
ผู้ให้บริการ VPN ส่วนใหญ่จะมีคำแนะนำที่ละเอียดมากแบบนี้ อันที่จริง บางรายใช้งานง่ายมากเพียงแค่กรอกชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านหลังติดตั้งแอปเสร็จ แล้วก็เลือกเเซิร์ฟเวอร์ แค่นี้ก็เริ่มใช้งานได้เลย
คำตอบของคำถามนี้คืออาจจะ เนื่องจากลักษณะของการให้บริการมักจะมีการทำให้ช้าเล็กน้อย อย่างไรก็ตามด้วยบริการ VPN ที่มีชื่อเสียงเกือบทั้งหมด ความช้าลงนี้มักจะไม่สามารถสังเกตเห็นได้
อย่างไรก็ตาม หาก ISP ของคุณควบคุมความเร็วอินเทอร์เน็ตในบางครั้งไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม การใช้ VPN อาจจะช่วยเพิ่มความเร็วของคุณได้ ผู้ให้บริการ VPN ชั้นนำหลายรายมีเครือข่ายที่ยอดเยี่ยมซึ่งใช้ประโยชน์จากผู้ให้บริการแบนด์วิดธ์ระดับพรีเมี่ยม
ตามปกติแล้ว ความเร็วที่ลดลงจนคุณสังเกตเห็นได้มักจะมาจากการที่เซิร์ฟเวอร์ที่คุณเลือกเชื่อมต่ออยู่ไกลออกไป
ฮาร์ดแวร์ของคุณมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อความเร็วในการเชื่อมต่อ เมื่อ VPN เข้ารหัสข้อมูล กระบวนการนี้ต้องใช้พลังประมวลผลจำนวนมาก อุปกรณ์ทุกชิ้นมีไมโครโปรเซสเซอร์เป็นหัวใจสำคัญซึ่งส่งผลต่อความเร็วที่อุปกรณ์ทำสิ่งต่าง ๆ ความเร็วนี้ถูกคำนวณเป็นกิกะเฮิรตซ์ (GHz)
ยิ่ง GHz สูง การเข้ารหัสก็จะเร็วขึ้นซึ่งส่งผลให้การเชื่อมต่อก็จะเร็วขึ้นด้วย
เราเตอร์มีโปรเซสเซอร์ซึ่งมีความเร็วเฉลี่ยตั้งแต่ 800MHz ถึง 1.2GHz (แม้ว่าจะมีรุ่นที่สูงกว่าซึ่งมีอัตราอยู่ที่ 1.8GHz หรือมากกว่า) แล็ปท็อปโดยเฉลี่ยทำงานที่ประมาณ 1.6GHz ถึง 2.2GHz ในขณะที่พีซีโดยเฉลี่ยทำงานระหว่าง 2.6 ถึง 3.4GHz
เมื่อใช้บริการ VPN บนเราเตอร์ที่มีหน่วยประมวลผลที่ 1GHz ความเร็วของสาย VPN จะช้าลงอย่างมาก จากที่ได้ปรึกษากับฝ่ายให้บริการช่วยเหลือดูแลลูกค้าของ TorGuard ความเร็วสูงสุดที่ผมจะได้รับจากการใช้งานเราเตอร์คือประมาณ 17Mbps การใช้งาน VPN เดียวกันบนแล็ปท็อปที่ความเร็ว 1.8GHz จะให้ความเร็วประมาณ 150Mbps
ประเด็นก็คือมีหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพของ VPN ดังนั้น เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดของการเชื่อมต่อ VPN ที่รวดเร็ว อุปกรณ์ของคุณเองก็เป็นส่วนประกอบสำคัญเช่นกัน
มีบริการ VPN หลายสิบราย (หรือหลายร้อยรายหากคุณนับผู้ให้บริการรายเล็กรายน้อยด้วย) บางรายเป็นผู้ให้บริการ VPN หลักที่เชี่ยวชาญในเรื่องนี้โดยเฉพาะ แต่ในปัจจุบันมีบริษัทรักษาความปลอดภัยทางอินเทอร์เน็ตอีกมากมาย เช่น F-Secure, Kaspersky และ Avira ที่ขยายธุรกิจมาให้บริการ VPN ด้วย
ด้วยเหตุนี้ คุณจะเลือกผู้ให้บริการที่ใช่ได้อย่างไร เนื่องจากคุณมีโอกาสจะได้รับ “ข้อเสนอ VPN” มากมายก่ายกองจากค่ายต่าง ๆ ทุกวัน หากคุณพิมพ์ข้อความค้นหาบริการนี้ใน Google อันที่จริง การค้นหา VPN ที่เหมาะกับคุณมีองค์ประกอบหลักเพียงไม่กี่อย่าง:
“คุณไม่สามารถได้หมดทุกอย่าง” นี่คือประโยคที่ได้ยินกันมานานแล้ว ยิ่งมีค่าใช้จ่ายมากเท่าไหร่ บริการก็มีแนวโน้มที่จะดียิ่งขึ้นเท่านั้น มันไม่ใช่แบบนั้นเสมอไป แต่โดยทั่วไปก็ออกจะไปในแนวนั้น ผู้ให้บริการ VPN ส่วนใหญ่สามารถเรียกเก็บเงินจากคุณได้เดือนละหกสิบถึงเก้าสิบบาท แต่ถ้าคุณหวาดระแวงเรื่องความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย จริง ๆ คุณจะยอมจ่ายเพิ่มอีกนิดหน่อยเพื่อความสบายใจหรือไม่ เลือกหาจุดลงตัวที่เหมาะกับกรอบความคิดของคุณโดยคำนึงถึงวัตถุประสงค์หลักในการสมัครใช้บริการ VPN
สิ่งนี้สำคัญมาก ไม่ว่าคุณจะมีงบประมาณหรือจุดประสงค์ใด ผู้ให้บริการ VPN รายไหนที่เก็บบันทึกการใช้งาน ก็ไม่น่าเล่นด้วยเลย แค่มีการบันทึกก็แย่แล้วเพราะอาจจะมีปัญหาตามมาได้ เป็นที่รู้กันดีว่าผู้ให้บริการจำต้องยอมอ่อนข้อให้กับแรงกดดันของรัฐบาลมาแล้วหลายกรณี ดังนั้น คุณควรเลือกผู้ให้บริการที่เข้มงวดมากเกี่ยวกับนโยบายการไม่บันทึกข้อมูล
ประเด็นนี้ตอบโจทย์ผู้ที่ใช้ VPN เพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์เป็นหลัก ตัวอย่างเช่นหากคุณต้องการเข้าถึงเนื้อหา Netflix ในสหรัฐอเมริกา คุณจะต้องมี…เซิร์ฟเวอร์ในสหรัฐอเมริกาบน VPN ของคุณ! ยิ่งผู้ให้บริการมีตำแหน่งที่ตั้งเซิร์ฟเวอร์มากเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งมีตัวเลือกมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งเซิร์ฟเวอร์มีจำนวนมากเท่าไหร่ การเชื่อมต่อของคุณก็จะราบรื่นและรวดเร็วมากขึ้นเท่านั้น
ทุกวันนี้ จำนวนอุปกรณ์โดยเฉลี่ยในแต่ละครัวเรือนมีจำนวนมากอย่างบ้าคลั่ง ลองจินตนาการถึงคู่รักสักคู่ที่ใช้ชีวิตด้วยกัน แต่ละคนมีแล็ปท็อป แท็บเล็ตและสมาร์ทโฟน นั่นหมายถึงอุปกรณ์หกชิ้นในบ้านหลังเดียวกัน ตรวจสอบให้แน่ใจเสียก่อนว่า ผู้ให้บริการ VPN ที่คุณจะสมัครใช้นั้นยอมให้คุณเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ได้กี่เครื่องและเข้ากับไลฟ์สไตล์ของคุณมากน้อยแค่ไหน
นี่เป็นปัญหาที่พบมากขึ้นในช่วงหลัง ๆ เห็นได้ชัดว่า ผู้ให้บริการ VPN บางรายมีปัญหาทางเทคนิคอยู่บ้างเล็กน้อยโดยปล่อยให้ IP จริงของลูกค้ารั่วไหลออกไป นั่นหมายความว่าลูกค้าเสียเงินฟรี เพื่อแก้ไขปัญหานี้ VPN จำนวนมากจึงเสนอช่วงทดลองใช้ ตรวจสอบการเชื่อมต่อของคุณให้ดีในช่วงทดลองใช้และหาก IP ของคุณรั่วคุณก็จะได้คำตอบว่าต้องทำอย่างไร นั่นคือ เลิกใช้บริการรายนั้น ๆ นั่นเอง
ผมได้ชั่งใจว่าจะเพิ่มรายการนี้หรือไม่ แต่ในที่สุด อาการย้ำคิดย้ำทำของผมก็เป็นฝ่ายชนะ ผู้ให้บริการ VPN บางค่ายมีอินเทอร์เฟสที่เส็งเคร็งซึ่งทำให้ใช้งานได้แย่ ลองคิดดูให้ดี ๆ เสียก่อนที่คุณจะเลือกสมัครใช้แพ็กเกจ ยาวสามปีเพราะราคาแสนถูกจนอดใจไม่ไหว
แน่นอน จุดขายของบริการ VPN คือความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย ฉะนั้น คุณจะทราบได้อย่างไรว่า สิ่งที่คุณเลือกใช้นั้นมีประสิทธิภาพตามที่ควรจะเป็นหรือไม่ คุณรู้หรือไม่ว่า IP ของคุณถูกเก็บไว้อย่างปลอดภัยหรือไม่ คุณเคยได้ยินเกี่ยวกับการรั่วไหลของเรื่องพวกนี้บ้างหรือไม่
บางครั้งความกังวลเหล่านี้อาจจะเกิดจากสิ่งที่ผมเรียกว่า “ฟีเจอร์ที่ใช้งานไม่ได้” ในผู้ให้บริการ VPN บางราย ซึ่งก็คือมันไม่ทำงานตามที่โฆษณาไว้ นั่นหมายความว่า ตัวตนของคุณอาจจะตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะถูกเปิดเผย
นี่คือการทดสอบง่าย ๆ ที่สามารถช่วยคุณได้
มีการทดสอบขั้นสูงอื่น ๆ ที่คุณสามารถทำได้ด้วย แต่จะมีรายละเอียดมากกว่า
แม้ว่าคุณอาจจะพอใจกับบริการ VPN ที่ใช้อยู่แล้ว แต่การทดสอบเป็นครั้งคราวก็เป็นความคิดที่ดีเพราะจะทำให้คุณสบายใจได้เต็มเปี่ยม
นี่อาจจะเป็นคำถามที่ฟังดูแปลกสำหรับบางคน เนื่องจากทุกวันนี้มีผู้ให้บริการ VPN อยู่เยอะแยะมากมาย โปรดจำไว้ว่าอินเทอร์เน็ตไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐบาลประเทศใดประเทศหนึ่งโดยเฉพาะ อย่างไรก็ตาม คุณต้องปฏิบัติตามกฎหมายของประเทศที่คุณอาศัยอยู่ ฉะนั้น ตรวจสอบให้แน่ใจว่า VPN ถูกกฎหมายในประเทศของคุณก่อนที่คุณจะสมัคร
อย่าเพิ่งหัวเราะเยาะผมนะครับเพราะบางประเทศเข้มงวดมากจริง ๆ ยกตัวอย่างเช่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) การถูกจับได้ว่าใช้บริการ VPN ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สามารถทำให้คุณถูกปรับได้มหาศาลเป็นจำนวนเงินตั้งแต่ 100,000 ถึง 500,000 ดอลล่าร์สหรัฐ
ไม่น่าแปลกใจที่ จีนเพิ่งผ่านกฎระเบียบ ที่อนุญาตให้ใช้บริการ VPN ที่รัฐบาลอนุมัติเท่านั้น นี่อาจจะเป็นมาตรการ “ควบคุม VPN ที่ดำเนินกิจกรรมข้ามพรมแดนอย่างผิดกฎหมาย” แต่อย่างที่เราทราบกันดีว่า มาตรการนี้เป็นเพียงการขยายพลังการควบคุมข้อมูลเข้าออกของจีนเท่านั้น
สุดท้ายนี้ หากคุณคิดจะใช้ VPN เพื่อหลีกเลี่ยงการเซ็นเซอร์ในที่ทำงานหรือโรงเรียนของคุณ คุณอาจถูกไล่ออกจากงานหรือถูกไล่ออกจากโรงเรียนได้ (ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของคุณ) เข้าใจใช่ไหมครับ
เรื่องนี้แล้วแต่ประเทศเลยครับ แต่ส่วนใหญ่แล้ว ประเทศที่ห้าม VPN มีแนวโน้มที่จะควบคุมชีวิตพลเมืองเข้มงวดกว่าประเทศอื่น การแบน VPN ทำให้ประเทศเหล่านั้นสามารถตรวจสอบการเคลื่อนไหวในโลกออนไลน์ของพลเมืองทุกคนได้ง่ายขึ้น
นี่คือสาเหตุหลักบางประการ
บางประเทศที่เข้มงวดมากเกี่ยวกับการเซ็นเซอร์อินเทอร์เน็ตถึงขั้นบล็อกบริการ VPN แม้ว่าจะไม่สามารถถอดรหัสข้อมูลได้ แต่การปิดกั้น VPN ในประเทศเหล่านั้นได้แสดงให้เห็นแล้วว่าประสบความสำเร็จในการบล็อกการเข้าถึง VPN โดยหยุดการเข้าถึงพอร์ตที่ปกติใช้โดยโปรโตคอล VPN ทั่วไป
ยกตัวอย่างเช่น Great Firewall of China ซึ่งเป็นส่วนเล็ก ๆ ของความพยายามโดยรวมของประเทศในการรักษาความปลอดภัยสาธารณะโดยการตรวจสอบระบบข้อมูลอย่างใกล้ชิด
การแชร์ไฟล์แบบ P2P หรือการทอร์เรนต์นั้นไม่ผิดกฎหมาย แต่เป็นที่ทราบกันดีว่าเรื่องนี้กลายเป็นประเด็น เนื่องจากคนไม่สามารถรู้สถานะของไฟล์ที่แชร์เสมอไป ตัวอย่างเช่น การแชร์ไฟล์วิดีโอบางไฟล์อาจละเมิด
กฏหมายลิขสิทธิ์ดิจิทัลแห่งสหัสสวรรษของสหรัฐหรือ Digital Millennium Copyright Act นอกจากนี้ ซอฟต์แวร์ลิขสิทธิ์บางตัวยังเป็นที่ทราบกันดีว่ามีการเผยแพร่เวอร์ชั่นละเมิดลิขสิทธิ์ผ่านการทอร์เรนต์
อย่างไรก็ตาม เป็นที่ทราบกันดีว่าการทอร์เรนต์นั้นใช้แบนด์วิดธ์สูง ดังนั้น จึงมีผู้ให้บริการ VPN บางรายที่ไม่อนุญาตให้ใช้บริการทอร์เรนต์หรือจะมีการจำกัดแบนด์วิดธ์สำหรับสถานการณ์เหล่านั้น
หากคุณกำลังมองหาบริการ VPN ที่เป็นมิตรกับการทอร์เรนต์ ตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีการระบุไว้อย่างชัดเจนในเว็บไซต์ของพวกเขาด้วย
คนส่วนใหญ่ใช้ VPN เพื่อให้มั่นใจเรื่องความเป็นส่วนตัวซึ่งสำคัญที่สุดสำหรับพวกเขา นั่นเป็นสาเหตุที่บริการ VPN จำนวนมากนำแนวคิดของ “kill switch” มาใช้ สิ่งเหล่านี้มีขึ้นเพื่อช่วยตัดการเชื่อมต่อของคุณทันทีหากบริการของคุณกับเซิร์ฟเวอร์ VPN ถูกขัดจังหวะด้วยเหตุผลใดก็ตาม
วิธีนี้ช่วยป้องกันไม่ให้ IP จริงของคุณถูกเปิดเผยในขณะที่ไม่มีบริการ VPN
แน่นอนว่าหากคุณต้องการให้การเชื่อมต่อยังคงอยู่ต่อไปแทนที่จะถูกตัดหายไป คุณสามารถเลือกที่จะปิด Kill Switch ได้ในหลาย ๆ กรณี
ผู้เล่นเกมมักจะไม่ชอบใจที่มีการใส่องค์ประกอบใหม่ ๆ เข้ามาในเครือข่ายเนื่องจากคนเหล่านี้มักจะกลัวว่าการเพิ่มอะไรใหม่เข้ามาจะส่งผลให้ความรวดเร็วลดลง ความล่าช้าเป็นตัวทำลายเกมออนไลน์และผมเองเคยเห็นคนเล่นเกมกรีดร้องใส่หน้าจอเมื่อต้องเผชิญกับการตอบสนองที่นานผิดปกติ
บางคนมอง VPN อย่างอดสงสัยไม่ได้ เนื่องจากพวกเขาสงสัยว่าการเพิ่มอะไรเข้ามาคั่นกลางระหว่างพวกเขากับเกมเซิร์ฟเวอร์จะช่วยลดความล่าช้าได้ยังไง อย่าลืมว่าคุณสามารถเลือกเซิร์ฟเวอร์ที่คุณต้องการเชื่อมต่อบน VPN ได้นะครับ
การเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ที่ใกล้กับเกมเซิร์ฟเวอร์ของคุณมากที่สุดน่าจะช่วยให้คุณได้รับการตอบสนองการทำงานที่รวดเร็วกว่าเดิม
นอกจากนั้น การที่ผู้ให้บริการมีตำแหน่งที่ตั้งเซิร์ฟเวอร์หลายแห่งยังหมายความว่าคุณจะสามารถเชื่อมต่อกับเกมเซิร์ฟเวอรจากประเทศ / ภูมิภาคที่คุณไม่สามารถทำได้ตามปกติ
อันที่จริง มีบริการ VPN ฟรีอยู่มากมายซึ่งบางรายดำเนินการโดยบริษัทรักษาความปลอดภัยอินเทอร์เน็ตอย่าง Kaspersky อย่างไรก็ตาม มักจะมีปัญหาทางเทคนิคเล็กน้อยในประเด็นเหล่านี้
สิ่งที่น่าคิด
ผู้ให้บริการฟรีต้องหารายได้จาก ที่ไหนสักแห่ง ซึ่งบริษัทเหล่านี้กำลังจัดการกับข้อมูลของคุณ
หากไม่นับรวมผู้ให้บริการ VPN ฟรี คุณอาจจะต้องจ่ายเงินระหว่าง 62 บาทถึง 310 บาทต่อเดือนโดยขึ้นอยู่กับหลากหลายปัจจัย ฟีเจอร์ในแพ็กเกจและระยะเวลาการชำระเงินมักจะส่งผลต่อราคา ยิ่งคุณเลือกชำระล่วงหน้านานเท่าไหร่ ราคาก็จะยิ่งถูกลงเท่านั้น
พิจารณากรณีของ NordVPN ซึ่งคิดราคาตามระยะเวลาที่คุณเลือก หากจ่ายเป็นรายเดือนก็ราคา 370 บาทต่อเดือน แต่ถ้าคุณจ่ายเป็นรายปี ราคาจะลดลงเหลือ 178 บาทต่อเดือน การเลือกใช้แพ็กเกจสามปีจะลดลงเหลือเพียง 85 บาทต่อเดือนซึ่งเป็นราคาที่สุดยอดมาก
ลองชั่งน้ำหนักดูระหว่างประโยชน์ของการต้องใช้บริการแบบสองหรือสามปีเทียบกับเงินที่ประหยัดขึ้นมาได้หากต้องจ่ายรายเดือน ทั้งหมดนั้นขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน
บัตรเครดิตทำให้ชีวิตดิจิทัลของเราเป็นเรื่องง่ายเนื่องจากเป็นวิธีการชำระเงินที่แน่นอนให้กับผู้ขาย อย่างไรก็ตาม เมื่อพูดถึงบริการ VPN นั่นคือ การที่เรายอมจ่ายเงินเพื่อจะได้ไม่ต้องเปิดเผยตัวตน ซึ่งอาจดูแปลกไปสักหน่อยหากเราต้องจ่ายด้วยวิธีการที่ระบุตัวตนชัดเจน
โชคดีที่ผู้ให้บริการบางรายเริ่มยอมรับ Bitcoin หรือสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ สำหรับการชำระเงิน หากต้องการทราบว่าผู้ให้บริการที่คุณเลือกรับ Bitcoin หรือไม่ ให้มองหาเครื่องหมาย Bitcoin ในหน้าวิธีการชำระเงินบนเว็บไซต์ของ VPN รายนั้น
แน่นอนว่า หากคุณเลือกใช้วิธีการชำระเงินด้วย Bitcoin ก็จะไม่มีการต่ออายุอัตโนมัติและคุณจะต้องเริ่มขั้นตอนการชำระเงินใหม่ทุกครั้งที่คุณต่ออายุ
โลกดิจิทัลในปัจจุบันเต็มไปด้วยอันตราย ไม่ว่าจะเป็นการสอดแนมของรัฐบาลไปจนถึงนักจารกรรมข้อมูลและนักต้มตุ๋น การซ่อนกิจกรรมดิจิทัลของคุณจึงควรเป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่ข้อควรพิจารณา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเครือข่ายสาธารณะเช่น GSM หรือ LTE ของผู้ให้บริการมือถือของคุณ ฉะนั้น อย่าชะล่าใจและควรใช้ VPN
ผมขอเล่าเหตุการณ์ง่าย ๆ ซึ่งเป็นประสบการณ์ส่วนตัวของผมก่อนที่จะจับเรื่อง VPN อย่างจริงจัง ผมนั่งอยู่ที่ร้านกาแฟกับหญิงสาวคนหนึ่งหลังจากไปร่วมงานมางานหนึ่ง เราพูดคุยกันถึงความปลอดภัยบนโลกออนไลน์ เธอทำให้ผมประหลาดใจเมื่อเธอบอกว่าเธอใช้ VPN แม้กระทั่งบนโทรศัพท์มือถือ ผมจึงถามเธอว่า เธอมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยจริง ๆ หรือ
เธอเปิดแอปในโทรศัพท์ของเธอให้ดูซึ่งได้บันทึกความพยายามมากกว่า 30 ครั้งที่จะดักฟังโทรศัพท์ของเธอ นั่นแค่วันนั้นวันเดียวเท่านั้นนะครับ เธออธิบายต่อว่า จำนวนครั้งจะขึ้นหรือลงขึ้นอยู่กับว่าเธออยู่ที่ไหน ฟังมาถึงตอนนี้แล้วรู้สึกว่า มันน่ากลัวจริง ๆ ใช่ไหมล่ะครับ
หากคุณกำลังพิจารณาที่จะเพิ่ม VPN เข้าไปในรายการเครื่องมือรักษาความปลอดภัยของคุณล่ะก็ เราขอแนะนำให้คุณเพิ่มเข้าไปเลยครับ หรือหากคุณยังไม่มี ผมก็ขอให้คุณสมัครใช้งานเลยครับ จาก Krack attack เมื่อเร็วๆนี้แสดงให้เราเห็นว่าบริการ VPN เป็นสิ่งที่จำเป็นในปัจจุบัน ฉะนั้น ปลอดภัยไว้ก่อน จะได้ไม่ต้องเสียใจทีหลัง